วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

มาตราตัวสะกด บทวิจารณ์กวีนิพนธ์ บทวิจารณ์แนวสุนทรียภาพ ของดีจังหวัดกาฬสินธุ์

เรียนรู้หลักภาษา

มาตราตัวสะกดไทย

หมายถึง พยัญชนะที่ประสมข้างหลังคำหรือพยางค์  เพื่อให้มีเสียงท้ายคำ


มาตราตัวสะกดไทยมีทั้งหมด  8  มาตรา ดังนี้

1. แม่กก
2. แม่กด
3. แม่กบ
4. แม่กง
5. แม่กน
6. แม่กม
7. แม่เกย
8. แม่เกอว




ตัวอย่างคำที่สะกดด้วย  แม่ กก










ตัวอย่างคำที่สะกดด้วย  แม่ กด







ตัวอย่างคำที่สะกดด้วย  แม่ กบ




ตัวอย่างคำที่สะกดด้วย  แม่ กง




ตัวอย่างคำที่สะกดด้วย  แม่ กน




ตัวอย่างคำที่สะกดด้วย  แม่ กม




ตัวอย่างคำที่สะกดด้วย  แม่ เกย




ตัวอย่างคำที่สะกดด้วย  แม่ เกอว








ตัวอย่าง













บทวิจารณ์กวีนิพนธ์

“ใบไม้ที่หายไป”  สะท้อนสภาพสังคมการเมือง ในแต่ละช่วงชีวิตของจิระนันท์  พิตรปรีชา  จาก
บทวิจารณ์โดย  นางสาวกนกวรรณ  ตาสา





แนวคิดทางการเมือง ใบไม้ที่หายไป

ประวัติผู้เขียน

จิระนันท์ พิตรปรีชา  มีชื่อเล่นว่า "จี๊ด"
เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498   ที่อำเภอเมือง จังหวัดตรัง  เป็นลูกคนกลาง ในจำนวนพี่น้องสามคน
มีความสนใจในการประพันธ์ตั้งแต่เด็ก จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นศึกษาต่อที่คณะวิทยาศาสตร์ แผนกเตรียมเภสัช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเลือกให้เป็นดาวจุฬา พ.ศ. 2515
ผลงานทางวรรณกรรมเขียนและแปล
-รวมบทความ โลกที่สี่                                                        -รวมบทกวีแปลของคิมซีฮา  เสียงของประชาชน
-รวมบทกวี  เกิดในกองทัพ                                               -นวนิยายขนาดสั้นแปล  ห้องสีเหลืองกับผู้หญิงคนนั้น
-เรียบเรียงสารคดีชีวิต  ลูกผู้ชายชื่อนายหลุยส์                              -รวมบทกวี  ใบไม้ที่หายไป
-สารคดีชีวิต  อีกหนึ่งฟางฝัน บันทึกแรมทางของชีวิต               -รวมบทความ  หม้อแกงลิง
-รวมบทความ ชะโงกดูเงา                                                                -สารคดีแปล  ถนนหนังสือสายบูล
-นวนิยายแปล ปาฏิหาริย์บันทึกรัก                                                  -นวนิยายแปล  ก้าวรักในรอยจำ
-นวนิยายแปล  ขอรักเธอมาเยียวยาหัวใจ                                       -นวนิยายแปล รักจากใจจร
-นวนิยายแปลลิขิตฟ้าชะตารัก                                                          -วรรณกรรมเยาวชน  หัตถ์ซ้ายของพระเจ้า
-จิตวิทยาประยุกต์แปลเดอะซีเคร็ต                                  -จิตวิทยาประยุกต์แปล เดอะพาวเวอร์ (แปลร่วมกับอรดี  สุวรรณโกมล)
และแปลภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง
และแปลภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง

ชีวิตครอบครัว
สมรสกับ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล หรือ สหายไท อดีตผู้นำนักศึกษาที่ร่วมต่อสู้มาด้วยกันตั้งแต่อยู่ในป่า ทั้งคู่มีบุตรชาย 2 คน ชื่อ แทนไท ประเสริฐกุล และ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล



บทคัดย่อ
กวีนิพนธ์ชุดนี้รวบรวมและจัดพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อกลางปี 2532  โดยเนื้อหาถูกแบ่งออกเป็น 5 ช่วง  ได้แก่
1)  พ.ศ.2513-2515                                                                           2)  พ.ศ.2516-2519
3)  พ.ศ.2520-2522                                                                           4)  พ.ศ.2522-2523
5)  พ.ศ.2524-2528                                                                          
                เนื้อหากล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงชีวิตต่างๆของจิระนันท์  พิตรปรีชา  ทำให้สามารถรับรู้ถึงพัฒนาการของคนคนหนึ่งจากความเป็นเด็กไร้เดียงสาไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดความอ่านอันแข็งแกร่ง  หนักแน่นมั่นคงและยืนหยักอยู่ในอุดมการณ์ของตัวเองและมีประสบการณ์ชีวิตที่กล้าหาญโดยเฉพาะ การรับรู้ความรู้สึกต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผู้เขียน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก  ความเจ็บปวดรวดร้าว  ความผิดหวังและความรู้สึกที่เป็นเหมือนดั่งไฟที่เร่าร้อนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแล้วพัฒนาจนกลายมาเป็นความสุขุมรอบคอบและเป็นดั่งไฟที่ทรงอานุภาพ  แม้จะเพลี่ยงพล้ำแต่ก็ยังไม่พ่ายแพ้อย่างราบคาบและพร้อมที่จะยืนหยัดต่อสู้ยึดมั่นในปณิธานของตนเอง  นอกจากนี้กวีนิพนธ์เล่มนี้ยังแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของเพศหญิงในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งในสังคม  ไม่ใช่เพศที่สองของสังคมและมีความกล้าหาญที่จะปลดปล่อยพันธนาการต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นชาติตระกูล  ทรัพย์สิน  เพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายและอุดมการณ์ของตน  และในช่วงปลายชีวิตของจิระนันท์  พิตรปรีชา  ในปี 2520  เป็นการออกจากป่ากลับมาสู่เมือง 
จากช่วงเวลาต่างๆเหล่านี้ผู้วิจารณ์ได้เห็นถึง สภาพสังคมการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนั้น  ความรู้สึกของจิระนันท์  พิตรปรีชา  ที่แสดงออกมาผ่านกวีนิพนธ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเชิงบันทึกของชีวิต ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาวัยรุ่นกลุ่มก้าวหน้า มีอุดมการณ์สูงส่ง จวบจนกระทั่งได้ตระหนักความจริงของชีวิตที่ถูกธรรมชาติกำหนด สาระของบันทึกนี้มีทั้งความใฝ่ฝัน ปรัชญาชีวิตและอุดมการณ์ของคนหนุ่มสาว ได้ปฏิบัติตามอุดมการณ์นั้นอย่างถึงที่สุด จึงได้พบว่าทุกชีวิตต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ซึ่งบ่งบอกเรื่องรางทางการเมือง สภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ควรค่าแก่การนำมาศึกษาเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
คำสำคัญ :ภาพสะท้อนทางสังคมการเมืองที่ปรากฏในกวีนิพนธ์ “ใบไม้ที่หายไป”


บทนำ
กวีนิพนธ์แห่งชีวิต  “ใบไม้ที่หายไป”  ของจิระนันท์  พิตรปรีชา  ตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2532  โดยสำนักพิมพ์อ่านไทยและได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน(ซีไรต์) ในปีเดียวกัน  เนื้อหากล่าวถึงลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตของจิระนันท์  พิตรปรีชา  ซึ่งแบ่งออกเป็น  ช่วงด้วยกัน  เริ่มต้นด้วยวัยแรกรุ่นที่มองโลกในแง่ดี  ต่อมากล่าวถึงจุดหมายของความคิดของจิระนันท์  พิตรปรีชา  ที่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนถึงปณิธานของหนุ่มสาวสมัยใหม่เลือดใหม่ไฟแรง  และช่วงที่ 3 กล่าวถึงการต่อสู้ของจิระนันท์  พิตรปรีชา  ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุถึงปณิธานที่ตั้งเอาไว้  ในยุคที่ 4  กล่าวพรรณนาถึงด้านลบของธรรมชาติ และในช่วงสุดท้ายกล่าวถึงการลาป่ากลับมาสู่เมือง  จะบ่งบอกถึงความรู้สึกพ่ายแพ้ช้ำแต่ก็ยังแฝงด้วยศักดิ์ศรี ซึ่งในกวีนิพนธ์เล่มนี้จะกล่าวถึงการเมืองที่โดดเด่นของไทยคือ   เหตุการณ์  14  ตุลาคม  2516  ที่ผู้เขียนกวีนิพนธ์เล่มนี้ คือจิระนันท์  พิตรปรีชา  ได้เข้าร่วมอยู่ในเหตุการณ์ที่สำคัญในครั้งนี้ด้วย
ใบไม้ที่หายไปเป็นเรื่องราวเชิงบันทึกชีวิตตอนหนึ่งของผู้ประพันธ์ ระหว่าง พ.ศ. 2513-2529 ตั้งแต่เป็นนักศึกษาอุดมการณ์สูงจนกระทั่งตัดสินใจหนีเข้าป่าเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การใช้ชีวิตในป่า เธอต้องพบกับความยากลำบาก คิดถึงบ้าน การค้นหาความหมายของชีวิตที่เต็มไปด้วยขวากหนาม แต่เธอก็สามารถทำตามอุดมการณ์ของตัวเองจนสำเร็จ ผู้เขียนเล่าผ่าน ความใฝ่ฝัน ปรัชญาชีวิต และอุดมคติของหนุ่มสาวในยุคนั้น เธอก็ได้พบว่าทุกชีวิตต้องเป็นไปตามวัฏจักรของธรรมชาติ
ท่ามกลางช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของเมืองไทย เธอหนีเข้าไปในฐานะที่เป็นคอมมิวนิสต์ การเรียนรู้ชีวิตในป่ากับอุดมการณ์ด้านการเมืองอันแรงกล้า บางช่วงขณะของอารมณ์ เธอก็จับปากกาขีดเขียนหนังสือออกมาเป็นกวีนิพนธ์ที่ได้สะท้อนความรู้สึกของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง บทกลอนที่คัดกรองออกจากหัวใจบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความหมายถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรทั้งหมดถูกรวบรวมใน กวีนิพนธ์แห่งชีวิต ในชื่อว่า ใบไม้ที่หายไปกวีนิพนธ์ร่วมสมัยทรงคุณค่าซึ่งได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ. 2532
ใบไม้ที่หายไปเป็นกวีนิพนธ์ที่มีคุณภาพเล่มหนึ่งของไทย ชี้ให้เห็นมุมมองชีวิตของวีรชนผู้กล้าที่ได้นำมาเล่าผ่านลีลาทางวรรณศิลป์อย่างมีชั้นเชิง สละสลวย มุ่งมั่น และจริงใจ ของผู้เขียนได้มอบบทบาทใหม่ให้แก่ผู้หญิง ในฐานะผู้มีสิทธิ์มีเสียงทางการเมือง อีกทั้งเนื้อหาและสาระแห่งอารมณ์ในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ความรู้ที่ได้จึงเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจ ไม่ว่าจะเป็น ความผิดพลาดในระบอบการปกครอง ผู้กล้าได้สูญเสียชีวิตและเลือดเนื้ออย่างที่ไม่มีวันนำกลับคืนมา ความอยุติธรรมในสังคม สิ่งเหล่านี้จะคอยย้ำความรู้สึกของคนในยุคปัจจุบันว่า การเรียนรู้ประวัติศาสตร์มีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ไม่ได้เรียนเพื่อให้ทำตามประวัติศาสตร์ดังนั้นหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่คนไทยทุกคนควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง

การวิจารณ์กวีนิพนธ์ “ใบไม้ที่หายไป”
การวิจารณ์กวีนิพนธ์ “ใบไม้ที่หายไป”  จะเน้นการวิจารณ์แนวคิด  โดยพิจารณาในส่วนของเนื้อหาและนัยทางสังคม รวมถึงส่วนประกอบอื่นๆอันได้แก่  การตั้งชื่อเรื่อง  ภาษาในการแต่ง  กลวิธีการนำเสนอเรื่อง  ผู้ศึกษาจะขอนำมากล่าวรวมไว้ด้วยเพื่อให้เห็นภาพของกวีนิพนธ์ “ใบไม้ที่หายไป”  ได้อย่างชัดเจนขึ้น
เรื่องส่วนใหญ่ของจิระนันท์  พิตรปรีชา  จะกล่าวถึงการต่อสู้ทางการเมืองโดยยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในการพลิกฟื้นสังคมไทย  ซึ่งได้ถ่ายทอดออกมาจากประสบการณ์ชีวิตที่ผู้เขียนได้พบเจอมาโดยตรงนำนำเรื่องราวเหล่านั้นมาตีแผ่ผ่านกวีนิพนธ์  “ใบไม้ที่หายไป”  ซึ่งกวีนิพนธ์เล่มนี้ช่วยเปิดโลกกว้างให้กับผู้ศึกษาได้เป็นอย่างมาก ซึ่งผู้ศึกษายังขาดประสบการณ์อย่างเช่นผู้เขียนได้พบเจอมา  กวีนิพนธ์เล่มนี้จึงควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง  เพราะจะทำให้รู้ถึงเรื่องราวพัฒนาการของคนคนหนึ่งจากความเป็นเด็กไร้เดียงสาไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดความอ่านอันแข็งแกร่ง  หนักแน่นมั่นคงและยืนหยักอยู่ในอุดมการณ์ของตัวเองและมีประสบการณ์ชีวิตที่กล้าหาญโดยเฉพาะ การรับรู้ความรู้สึกต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผู้เขียน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก  ความเจ็บปวดรวดร้าว  ความผิดหวังและความรู้สึกที่เป็นเหมือนดั่งไฟที่เร่าร้อนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแล้วพัฒนาจนกลายมาเป็นความสุขุมรอบคอบและเป็นดั่งไฟที่ทรงอานุภาพ  แม้จะเพลี่ยงพล้ำแต่ก็ยังไม่พ่ายแพ้อย่างราบคาบและพร้อมที่จะยืนหยัดต่อสู้ยึดมั่นในปณิธานของตนเอง  นอกจากนี้กวีนิพนธ์เล่มนี้ยังแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของเพศหญิงในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งในสังคม  ไม่ใช่เพศที่สองของสังคมและมีความกล้าหาญที่จะปลดปล่อยพันธนาการต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นชาติตระกูล  ทรัพย์สิน  เพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายและอุดมการณ์ของตน 

การตั้งชื่อเรื่อง
                ชื่อเรื่อง “ใบไม้ที่หายไป”  เป็นการนำเอาเรื่องราวชีวิตของกลุ่มนักศึกษาที่เกิดขึ้นในช่วงเหตุการณ์  14  ตุลาคม  2516  ที่นักศึกษาวัยรุ่นกลุ่มก้าวหน้า  ที่มีอุดมการณ์  มีความคิด  ความใฝ่ฝันและปรัชญาชีวิตที่จะพลิกฟื้นสังคมไทย  โดยทำตามอุดมการณ์ของตนและตั้งมั่นในปณิธานอันแน่วแน่เพื่อแสวงหาความยุติธรรมกลับคืนสู่สังคมไทย  จึงเปรียบ “ใบไม้”  เป็นดั่ง “ชีวิตคน”  ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์  “ใบไม้ที่หายไป”  ก็เปรียบเหมือนชีวิตที่สูญหายไปกับการต่อสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรม ในวันที่  14  ตุลาคม  2516  ที่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องจบชีวิตลงในการเรียกร้อง สันติภาพและความยุติธรรมกลับคืนมาสู่สังคมไทย  ดังบทกวีที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ 
“สันติภาพ”
“วิถีบาปสาบส่งลงมาหรือ?               เพลิงกระพือผลาญชีวันอันไดหนอ
ดินเปื้อนเลือดราดฟ้าน้ำตาคลอ                        รันทดท้อเพลงตรมชั่วงมงาย
กระแสกรรมร่ำไรเริ่มไหลบ่า                           หลั่งมายาหล้าล่มจมสลาย
ท่วมความคิดท้นความหวังพังทลาย                ทุกสิ่งคล้ายเศษสวะถูกชะพา
โลกอสัตย์บัดนี้ถึงที่สุด                                       ชาวโลกหยุดเมามัวกลั้วโมหา
เลือดรินล้างแล้วลบกลบพสุธา                         ฟ้าสีฟ้าสว่างงาม “ความเป็นธรรม”

จากบทประพันธ์ข้างต้นเป็นบทประพันธ์ส่วนหนึ่งในหนังสือกวีนิพนธ์ “ใบไม้ที่หายไป”  ซึ่งกล่าวถึงความชั่วร้ายที่เผาผลาญชีวิตคนให้เกิดการสูญเสีย เสียเลือด เสียเนื้อ เสียชีวิต  เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมสู่สังคมไทย ซึ่งจากบทกวี “สันติภาพ” ที่ยกมานี้ จากชีวิตที่ได้สูญเสียไปก็เปรียบเหมือนกับ “ใบไม้ที่หายไป” ตามชื่อเรื่องของหนังสือกวีนิพนธ์เล่มนี้


กลวิธีการนำเสนอเรื่อง
                กลวิธีการแต่งเป็นกลอนสุภาพใช้คำที่เรียบง่าย และเนื้อหาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความศรัทธา  ความบริสุทธิ์ กล้าหาญ ของหนุ่มสาว 
การดำเนินเรื่องใช้เรียงลำดับกาลเวลาตามปฏิทิน คนอ่านสามารถทำความเข้าใจจัดลำดับเหตุการณ์เองได้ ปะติดปะต่อได้ตั้งแต่ต้นจนจบ มีเหตุผลเพราะได้กำกับช่วงเวลาเอาไว้ ระหว่าง พ.ศ. 2513-2519  ซึ่งผู้เขียนได้นำเหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตหนึ่งของตนนำมาถ่ายทอดออกมาให้ได้เห็นเด่นชัดถึงเรื่องราวชีวิตของผู้เขียนเองกับการต่อสู้ทางการเมืองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์อันแน่วแน่และได้ตีแผ่เรื่องราวสังคมการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนั้น  รวมถึงได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก  ความมุ่งมั่น  กล้าหาญและอุดมการณ์ของกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมกลับคืนมาสู่สังคมไทย  ในเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์  14  ตุลาคม  2516 ที่เกิดขึ้น
                เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านบทกวีของผู้เขียน ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่เคยผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวมาแล้ว  ดังบทกวี  “ดอกไม้จะบานซึ่งเป็นบทกวีที่สื่อถึงพลังบริสุทธิ์ของหนุ่มสาวในการมุ่งมั่นแก้ไขสังคมเพื่อประชาชนโดยแท้จริง  ดังบทที่ว่า
“ดอกไม้                                 ดอกไม้จะบาน
บริสุทธิ์กล้าหาญ                  จะบานในใจ
สีขาว                                      หนุ่มสาวจะใฝ่
แน่วแน่แก้ไข                       จุดไฟศรัทธา
เรียนรู้                                    ต่อสู้มายา
ก้าวไปข้างหน้า                    เข้าหามวลชน
ชีวิต                                        อุทิศยอมตน         
ฝ่าความสับสน                     เพื่อผลประชา”

ภาษาที่ใช้ในเรื่อง
ใช้สำนวนภาษาที่เรียบง่ายชัดเจน  สื่อความหมายออกมาตรงตัว  แฝงไปด้วยความคิด  อุดมการณ์  ความใฝ่ฝัน ความต้องการ  ปณิธานชีวิต  รวมไปถึงยังสื่ออารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน  ดังบทที่ว่า
ไม่เคยมีรุ้งงามในความฝัน
ไม่มีวันสุขปลื้มลืมหมองไหม้
ไม่ต้องการหวานล้ำน้ำคำใคร
ไม่อยากได้สิ่งมายาค่านิยม

แนวคิดของเรื่อง
                ในบทกวีนิพนธ์ “ใบไม้ที่หายไป”  ของจิระนันท์  พิตรปรีชา  มีแนวคิดหลักที่กล่าวถึง  “อุดมการณ์”  ของนิสิตนักศึกษาที่ตระหนักถึงความจริง ซึ่งต้องการปรับเปลี่ยนสังคมไทยให้มีความยุติธรรมด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจและพยายามต่อสู้ของกลุ่มนิสิตนักศึกษา  ด้วยความใฝ่ฝัน  ปรัชญาชีวิตและอุดมการณ์ของหนุ่มสาว  ปณิธานชีวิตที่ต้องการพลิกฟื้นสังคมไทยเพื่อทำลายความอยุติธรรมที่เผาเผลาญชีวิตของคนบริสุทธิ์ไปอย่างมากมาย  ให้กลับกลายมาเป็นสังคมที่มีความยุติธรรมอีกครั้ง  ดังจะยกตัวอย่างในบท “จุดหมาย” ที่ว่า
“แสวงโชคโลกทัศน์อันสัตย์ซื่อ       ด้วยสองมือมั่นหมายการคลายคลี่
ความคิดในวัยเยาว์เท่าที่มี                                  จะล้างสีลบโศกที่โลกรู้
ลบช่องว่างทางชนชั้นแก้ปัญหา                      โดยมาตราความพอดีถ้ามีอยู่
จะปรับหมุดยุติธรรมค้ำตราชู                            เกมต่อสู้ก็สุดสิ้นหมดกลิ่นคาว
แล้วบทเพลงอิสระจะร่ายเริ่ม                            เพื่อประเดิมชีวิตใหม่ให้หนุ่มสาว
สมันร่มสมองสร้างทางสายยาว                       เส้นสีขาวสู่เบื้องหน้าอย่างท้าทาย”

บทความวิจารณ์กวีนิพนธ์ “ใบไม้ที่หายไป”
                จากลำดับเหตุการณ์ชีวิตของผู้เขียนอย่างจิระนันท์  พิตรปรีชา  ที่ถูกนำมาตีแผ่เรื่องราวผ่านออกมาในรูปแบบของร้องกรองที่ได้ถ่ายทอดช่วงชีวิตต่างๆของผู้เขียนออกมาดังนี้
ในช่วงต้นของวัยแรกรุ่น  (2513-2515)  จะเห็นว่าบทกวีมีความสดใสของชีวิตและยังเป็นการมองโลกในแง่ดี  ดังในบท ห้วงคำนึง”  ที่ว่า
                แล้วสบตากับเรา-เงาในน้ำ              ไหลลำนำฉ่ำใจคล้ายเคลิ้มฝัน
พิสุทธิ์ใสไล้หล้าลับตาวัน                                  กล่อมดวงขวัญล่องลิบทิพยา
เรามองโลกสดใสในวันนี้                                  ด้วยใจที่อ่อนวัยไร้เดียงสา
ทุกสิ่งช่วยอวยสุขทุกเวลา                                  หากวันหน้าเป็นอย่างไร...ไม่อาจรู้

                จากบทข้างต้นเป็นการกล่าวถึงการมองธรรมชาติด้วยความประทับใจในความงาม มองเห็นโลกที่สดใสงดงาม อีกทั้งในบท ห้วงคำนึง”  ก็ยังซ่อนความไม่แน่ใจในชีวิตแฝงเอาไว้ด้วยในวรรคที่ว่า หากวันหน้าเป็นอย่างไร...ไม่อาจรู้
                ในช่วงต้นของวัยผู้ศึกษายังได้มองเห็นถึงความคิดความอ่านของผู้เขียนที่แฝงอยู่ในบทกวี  คือการที่รู้จักมองโลกในแง่ดีมองเห็นความสำคัญและคุณค่ารวมไปถึงการรู้จักบุญคุณของสิ่งที่อยู่รอบตัวดังเช่นธรรมชาติ ในบท นิยายยาง”  ที่ว่า
บนผืนดินคล้ำแดงร้าวแห้งผาก                      ยางฝังรากมั่นคงอยู่ตรงหน้า
มีแผลมีดกรีดซ้ำจำเจมา                                                      มีน้ำตายวงย้อยค่อยหลั่งริน
สะอาดขาวราวหยดสดเกษียร                                            อันแม่เจียรจากใจให้ลูกสิ้น
บาดแผลบนต้นยางทางทำกิน                                           คือบากบิ่นจารึกร่องของบุญคุณ

                และจากบท จุดหมาย”  ก็เป็นอีกบทหนึ่งที่ผู้เขียนได้บรรยายถึงจุดหมายความต้องการของตน ความหวัง  ความศรัทธา  ความต้องการที่อยากจะเห็นสังคมที่เป็นสุข  มีอิสรภาพ  และความยุติธรรม ดังที่กล่าวเอาไว้ว่า

สิ่งผูกมัดศรัทธาเบื้องหน้านั้น        คือความฝันฝังใจเคยใหลหลง
เอาศักดิ์ศรีชีวามาวางลง                                    เป็นเดิมพันแกมทะนงกึ่งจงใจ
ไม่เคยมีรุ้งงามในความฝัน                                ไม่มีวันสุขปลื้มลืมหมองไหม้
ไม่ต้องการหวานล้ำน้ำคำใคร                           ไม่อยากได้สิ่งมายาค่านิยม”             

                ในช่วงต่อมา (2516-2519)  เป็นช่วงที่ จิระนันท์  พิตรปรีชา ได้แสดงจุดหมายของตนออกมาอย่างเด่นชัด  ดังในบท ปณิธานของหนุ่มสาวที่ว่า
                ชายหนุ่มกับหญิงสาว                       จูงมือกันก้าวสู่หนไหน?
เพียงหลงทางที่ไม่มีทางไป                               หรือสร้างสรรค์บันไดไกลถึงฟ้า
...นี่คือคำตอบ                                                      ชีวิตที่มอบไว้แก้ปัญหา
ต้องสู้  ต้องทำ  รับคำท้า                                    เบื้องหน้าคืออะไรไม่พรั่นเลย

                จากบทที่กล่าวมาข้างต้นค่อนข้างจะเป็นไฟที่ร้อนแรงแห่งพลังการจับมือร่มกันฟันฝ่าของหนุ่มสาวที่เป็นดั่งแรงผลักดันกระตุ้นให้เกิดการเผชิญหน้าเข้าต่อสู้โดยไม่เกรงกลัวอะไรเลย


                หรือในบท ไฟ-วิญญาณ  งาน-ชีวิตที่ว่า
                กล้าหาญ  กล้าหาญ                           ปราการเบื้องหน้าปรากฏ
ปราการฐานันดร์หลั่นลด                                   จักฝ่าไปปลดพันธนาการ
ฝันถึงสัจจะอิสรภาพ                                          วัยโลกอาบอิ่มงามตามคุณค่า
คนคือคนลุกฟื้นคืนชีวา                                     สืบตำนานสะท้าน้าผาดินดาว

                จากบทข้างต้นที่ยกมานั้นจะกล่าวถึงความกล้าหาญทะนงองอาจในการต่อสู้ฝ่าฟันและนำมาซึ่งอิสรภาพความงดงาม  และพลิกฟื้นชีวิตผู้คนกลับคืนมาอีกครั้ง
                และในช่วงนี้เอง  ที่จิระนันท์  พิตรปรีชา  ได้แสดงถึงภาพพจน์ใหม่ของผู้หญิง  ที่ไม่ใช่เพศที่สองของสังคมแต่เป็นคนหนึ่งในสังคมที่มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์เช่นกัน  ดังในบท อหังการของดอกไม้”  ที่ว่า
                สตรีมีดวงใจ                       เป็นดวงไฟไม่ผันผวน
สร้างสมพลังมวล                                ด้วยเธอล้วนก็คือคน
สตรีมีชีวิต                                             ล้างรอยผิดด้วยเหตุผล
คุณค่าเสรีชน                                        มิใช่ปรนกามารมณ์

                ในช่วง (2520-2522)  เป็นช่วงที่แสดงออกให้เห็นเด่นชัดในการต่อสู้ เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งได้ปลดพันธนาการทั้งมวลเพื่อให้บรรลุปณิธานอันกล้าหาญที่ได้ตั้งเอาไว้  ด้วยความหวังเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม  ร้อยกรองในช่วงจะสื่อให้เห็นความรู้สึกฮึกเหิมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังการต่อสู้  ความเจ็บปวดที่ถูกย่ำยีด้วยความไม่เป็นธรรม  และปลุกในให้กลุ่มนิสิตนักศึกษา กลุ่มเพื่อนพ้องเดียวกันร่วมปณิธานเดียวกันดังเช่นในบท หนุ่มสาวคือกาพย์กลอน  แห่งป่าเขา”  ที่ว่า
                สบสายตาคนหนุ่มสาวผู้เร่าร้อน                    ที่ท่าทีทุกตอนซ่อนความหวัง
คือกาพย์กลอนกล่อมป่าดงทรงพลัง                                คือเสียงสั่งสาปอธรรม์ให้พรั่นพรึง
ดอกไม้ป่าสีม่วงอ่อนบานต้อนรับ                                    ผู้มาจับปืนสู้กู้ชาติหนึ่ง
เป็นแถว แถว สุดแนวภูดูตะลึง                                        มาเถิดมา...ข้าวใหม่นึ่งยังร้อนรอ

                ในช่วง (2522-2523)  เป็นช่วงที่ไม่มีการพรรณนาความงามของธรรมชาติหลงเหลืออยู่ให้เห็น ซึ่งตรงกันข้ามกับช่วงแรกรุ่นของชีวิต  แต่กลับเป็นการพรรณนาถึงด้านลบของธรรมชาติแทน  เพื่อเป็นพื้นภูมิของบรรยากาศแห่งสารที่ต้องการจะสื่อ  ดังในบท กล่อมลูกยามไกล”  ที่ว่า
                เมฆสีดำ  เดือนดับ  พยับฝน                          
ฟ้าร้องครืน  สะอื้นโหย  โบยลมบน
ใบไม้หล่น  ลอยร่วง  ควงคว้าง...คว้าง...
...เช็ดน้ำตาตัวเองเร่งให้เจ้า               ใจสั่นเศร้าสุดหักห้ามยามพรากห่าง
คืนนี้มืด  คงมีรุ่งอรุณราง                  เมื่อสว่าง  แม่จะมาหาลูกเอง

                หรือในบท ไปลำเลียง”  ที่กล่าวบรรยายถึงบรรยากาศของธรรมชาติในป่าในด้านที่น่ากลัว  ทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ยากลำบากตามไปกับผู้ที่อยู่ในป่านั้นด้วย          แต่ว่าคนเหล่านั้นแม้จะอยู่กันอย่างยากเข็ญก็ยังมีความอดทนอดกลั้น ซึ่งสิ่งนี้เองที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อออกมาให้เห็น โดยใช้บรรยากาศของธรรมชาติสื่อความหมายและเป็นเครื่องช่วยย้ำเตือนในตอนที่ว่า
                ฟ้าลั่นเสียงครืนครืน                         เสียงทางรื่นรกชื้นหนาว
ยุงมากทากเลือดดาว                                            จักต้องก้าวฝ่าข้ามไป
ใจหวัง, ว่าขากลับ                                                คงได้รับข่าวคราวใหม่
จากลูกที่ลาไกล                                                    เจ้าดวงใจจวนขวบเต็ม
จะยาก, ลำบากเข็ญ                                             ถึงเหงื่อเป็นสีเลือดเข้ม
กระดูกถูกทากเล็ม                                               ปากยังเม้มหมัดยังกำ

                จากบทข้างต้นก็สื่อให้เห็นถึงความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในธรรมชาติที่ต้องมีสิ่งเหล่านี้อยู่ เช่น ยุง ทาก  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่แสดงถึงผู้มีอำนาจ  ผู้อยุติธรรม  ซึ่งมีอยู่ในสังคม  ซึ่งประชาชนจะต้อง ก้าวฝ่าข้ามไปแม้จะต้องเพลี่ยงพล้ำสักเท่าใด หรือเป็นดั่งกระดูกที่ถูกแทะเล็มด้วยทาก  แต่เราก็ต้องสู้อย่ายอมแพ้และต้องต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อนำมาซึ่งเสรีภาพที่ใฝ่หาดังที่ว่า ปากยังเม้ม  หมัดยังกำ

                ในช่วง (2524-2528)  ผู้เขียนได้แสดงออกมาถึงความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขุม  รอบคอบขึ้น  และยังพร้อมที่จะต่อสู้กับความอยุติธรรมเมื่อตนเองมีความพร้อม  ดังในบท ชีวิตและเงื่อนไข”  ที่ว่า
                “...เราอยากงอกงาม                            สำเร็จสมความใฝ่ฝัน
เติบกล้าท้าแสงตะวัน                                          ยืนมั่นไม่พรั่นแรงลม
และนี่คือเงื่อนไข                                                 ถ้าเราอยู่ในความเหมาะสม
อยากเป็นต้นไม้ไม่ล้ม                                        รากต้องจมหยั่งตรงลงลึกพอ

                ความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ของ จิระนันท์  พิตรปรัชา  ยังคงมีให้เห็นอยู่ชัดเจน  ถึงแม้จะเปลี่ยนสถานที่และเวลาจะผ่านไป ดัง มากับสายลมเดือนสิงหา”  ซึ่งได้ใช้ธรรมชาตินำมาเป็นสื่อบ่งบบอก  เช่น
                อิสระแห่งดอกไม้น้อยค่อยคลี่บาน
หรือ
ในดงหนามยามนี้ยังมีนิ่ม                 แย้มรอยยิ้มสีสันอันกล้าหาญ
หรือ
บิน  บิน  บิน   โบกสูงปีกฝูงผึ้ง
บิน  ให้ถึงหุบแอ่งแก่งเกสร  ซึ่งเรณุแห่งความหวัง  ยังโปรยพร

                และบทส่งท้ายของหนังสือ  อันเป็นทางผ่าน”  ถือเป็นบทสรุปความทรงจำของผู้เขียน  ซึ่งเป็นความหวังที่มีบาดแผลที่ตกสะเก็ดเหมือนดั่งความหวังที่พังทลายและให้อารมณ์เศร้าหม่นหมองทิ้งร่องรอยเอาไว้  ซึ่งเป็นการจบเรื่องที่ให้ความรู้สึกใจหาย  ติดค้างอยู่ในใจของผู้ศึกษาด้วยเช่นกัน ดังเช่น  ในวรรคลงท้ายบทที่ว่า  ผ่านลานโพธิ์อีกทีไม่มีใคร
                หนังสือกวีนิพนธ์ ใบไม้ที่หายไปเล่มนี้    ถือได้ว่าเป็นหนังสือที่บันทึกประวัติศาสตร์แห่งอารมณ์และความรู้สึกของคนร่วมยุคสมัย  ซึ่งสามารถเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา  ได้รับรู้ความเป็นมา และใช้เป็นข้อมูลสำหรับการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสังคมและประวัติศาสตร์ของชาติไทยที่เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในช่วงนั้น  อย่างน้อยก็สามารถนำมาเป็นข้อมูลเกี่ยวกับความคิดความอ่านของคนช่วงหนึ่งๆได้





การวิจารณ์แนวสุนทรียภาพ

 โดย นางสาวกนกวรรณ  ตาสา

"ของ-โขง"

   เบิ่งน้ำของมองน้ำโขงโยงสองฝั่ง                                    น้ำใจยังรินไหลข้ามไปหา
      น้ำคำคอยปลอบขวัญกันเรื่อยมา                                           เช็ดน้ำตาเพื่อหยุดท้อ สู้ต่อไป
       ฝันคงมีวันหนึ่งซึ่งถึงฝัน                                                      หากยังผูกสัมพันธ์ด้วยกันใหม่
        จะรวมเมฆสองฝั่งฟ้าพาเธอไป                                            ตกเป็นฝนชะโลมใจในแผ่นดิน
มีแม่น้ำสายเดียวกันที่มั่นรัก                                                   ปฐพีที่ปกปักษ์ประจักษ์ถิ่น
ได้ชูชมช่อฟ้าชะตาชีวิน                                                        ได้หาอยู่หากินในถิ่นธรรม
       ความเจริญในวัตถุบรรลุสร้าง                                                ความเจริญในใจวางอย่างลึกล้ำ
              เป็นปึกแผ่นแก่นสารการกระทำ                                         สวรรค์ร่ำ"ของ" "โขง" จรรโลงเรา


( เวย์ รู้ทัน )




การวิจารณ์แนวสุนทรียภาพ

จากบทกลอน “ ของ-โขง”  ข้างต้นจะเป็นการกล่าวถึงการให้กำลังใจ  มีการใช้คำสละสลวย  ภาษาในบทกลอนมีความงดงาม  ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกมีกำลังใจที่จะลุกขึ้นสู้กับอุปสรรคต่างๆ  เนื้อความในบทกลอนสื่อถึงอารมณ์  ความรู้สึกที่สงบร่มเย็น   โดยใช้ธรรมชาติที่อยู่รอบตัวนำมากล่าวในบทกลอนทำให้สามารถดึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้อ่านออกมาแล้วคล้อยตามไปกับบทกลอน  อ่านแล้วทำให้รู้สึกมีพลัง  มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไปแม้ว่าเราจะทุกข์จะท้อแค่ไหนก็ตาม
ในบทกลอนจะเน้นที่ธรรมชาติกล่าวเปรียบเทียบแม่น้ำโขงที่เชื่อมโยงทั้งสองฝั่งเข้าหากัน  แสดงถึงความผูกพัน  มีน้ำใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  รวมไปถึงน้ำโขงเปรียบเหมือนที่พักพิงอาศัย  ให้เราได้ใช้ชีวิตอยู่กินก่อให้เกิดความสุขในชีวิต  เหมือนเราได้รับความรักจากใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้างเราเสมอ  แม้ว่าเราจะทุกข์จะท้อแค่ไหนก็ตาม  จากบทกลอนจะใช้ธรรมชาติแทนสิ่งที่สื่อถึงความรัก  ถึงกำลังใจได้อย่างงดงาม  ทำให้ผู้อ่านเกิดกำลังใจที่จะลุกขึ้นสู้และก้าวต่อไป

สุนทรียภาพด้านคำในวรรณกรรม  เช่น
          เบิ่งน้ำของมองน้ำโขงโยงสองฝั่ง                             น้ำใจยังรินไหลข้ามไปหา
น้ำคำคอยปลอบขวัญกันเรื่อยมา                                             เช็ดน้ำตาเพื่อหยุดท้อ สู้ต่อไป

จากบทกลอนข้างต้นมีการใช้คำเดียวกันแต่ให้ความหมายที่ต่างกันมาจัดวางในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกันช่วยสร้างความหมายด้านอารมณ์และแสดงถึงความสามารถของกวีออกมาได้อย่างชัดจน
นอกจากนี้ยังมีการใช้หลากคำ  มีการใช้คำศัพท์ที่มีความหลากหลายและสละสลวย  ทำให้บทกลอนมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น  เช่น 
มีแม่น้ำสายเดียวกันที่มั่นรัก                              ปฐพีที่ปกปักษ์ประจักษ์ถิ่น
ได้ชูชมช่อฟ้าชะตาชีวิน                                                    ได้หาอยู่หากินในถิ่นธรรม
สุนทรียภาพในด้านความหมายในวรรณกรรม

จากบทกลอน  “ของ-โขง” กวีมีการใช้คำที่สละสลวยกลมกลืนและได้จังหวะ เพื่อนำมาสื่อความหมายออกมาได้อย่างลึกซึ้งกินใจ  มีชั้นเชิงในการเรียงร้อยถ้อยคำออกมาผ่าน โวหาร และรสทางวรรณคดีได้อย่างงดงาม  เช่น 
การใช้  อุปลักษณ์  เปรียบเทียบของสองสิ่งว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเท่ากันดังบทที่ว่า
 จะรวมเมฆสองฝั่งฟ้าพาเธอไป                                       ตกเป็นฝนชะโลมใจในแผ่นดิน
มีแม่น้ำสายเดียวกันที่มั่นรัก                                                              ปฐพีที่ปกปักษ์ประจักษ์ถิ่น
และบทที่ว่า
ความเจริญในวัตถุบรรลุสร้าง                                           ความเจริญในใจวางอย่างลึกล้ำ
เป็นปึกแผ่นแก่นสารการกระทำ                                                      สวรรค์ร่ำ"ของ" "โขง" จรรโลงเรา

การใช้  อติพจน์  พูดเกินความจริงเพื่อเน้นความรู้สึก  ดังบทที่ว่า
เบิ่งน้ำของมองน้ำโขงโยงสองฝั่ง                                    น้ำใจยังรินไหลข้ามไปหา
น้ำคำคอยปลอบขวัญกันเรื่อยมา                                                       เช็ดน้ำตาเพื่อหยุดท้อ สู้ต่อไป
ฝันคงมีวันหนึ่งซึ่งถึงฝัน                                                                   หากยังผูกสัมพันธ์ด้วยกันใหม่
จะรวมเมฆสองฝั่งฟ้าพาเธอไป                                                        ตกเป็นฝนชโลมใจในแผ่นดิน

และการใช้  บุคลาธิษฐาน  เปรียบเทียบโดยนำสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือมีชีวิตแต่ไม่ใช่คนมาแสดงกิริยา อาการราวกับเป็นคน  ดังบทที่ว่า
เบิ่งน้ำของมองน้ำโขงโยงสองฝั่ง                                    น้ำใจยังรินไหลข้ามไปหา
น้ำคำคอยปลอบขวัญกันเรื่อยมา                                                       เช็ดน้ำตาเพื่อหยุดท้อ สู้ต่อไป



กนกวรรณ  ตาสา



ของดีที่กาฬสินธุ์






             ของดีที่บ้านฉันคือ  เครื่องจักสานต่างๆที่ทำจากต้นกก  ซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายตามธรรมชาติแล้วนำมาจักสานเป็นของใช้ในรูปแบบต่างๆที่นอกเหนือจากการทำสื่อไม่ว่าจะเป็น  กระติ๊บข้าว  ตะกร้า  กระเป๋าและหมวก  ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็เป็นอีกสินค้าหนึ่งของหมู่บ้านที่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี
 นอกจากนี้ยังมีของดีที่อำเภอสมเด็จอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น
       





                     น้ำตกแก้งกะอาม ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านแก้งกะอาม ตำบลผาเสวย อำเภอสมเด็จ ห่างจากจังหวัดกาฬสินธุ์  มีแก่งหินเรียงรายเป็นแนวยาว มีลานหินกว้างเหมาะแก่การพักผ่อน เป็นน้ำตกที่กำลังได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ทางหลวงแผ่นดิน
อ่างเก็บน้ำห้วยสังเคียบ เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของอำเภอสมเด็จโดยตั้งอยู่ที่ บ้านเหล่าภูพาน และในพื้นที่เดียวกันนี้จะมีน้ำตกตาดน้ำย้อยซึ่งมีความสวยงามและบรรยากาศที่ดีเหมาะแก่การพักผ่อน  ซึ่งสถานที่เหล่านี้ต่างเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของ อำเภอสมเด็จ  จังหวัดกาฬสินธุ์
ส่วนของดีในจังหวัดกาฬสินธุ์ก็มีมากมาย  ดังคำขวัญที่ว่า


เมืองฟ้าแดดสงยาง  โปงลางเลิศล้ำ
วัฒนธรรมภูไท  ผ้าไหมแพรวา
ผาเสวยภูพาน  มหาธารลำปาว
ไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี


           จากคำขวัญของจังหวัดกาฬสินธุ์นี้ก็ได้แนะนำแหล่งท่องเที่ยวและของใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆไว้มากมาย  เช่น  ผ้าไหมแพรวาบ้านโพน  ซึ่งเป็นผลิภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดกาฬสินธุ์ได้เป็นอย่างดี เพราะผู้คนนิยมซื้อไปเป็นของฝากให้แก่คนรู้จัก  ซึ่งผ้าไหมแพรวานี้จะทอด้วยมือ  มีลวดลายเฉพาะที่สวยงาม  มีความละเอียดเป็นอย่างมา และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดกาฬสินธุ์คือ










                    พิพิธภัณฑ์สิรินธร  ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับไดโนเสาร์และวิวัฒนาการต่างๆของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  มีการจำลองโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่มีขนาดเท่าของจริง ให้ได้ชม  เมื่อเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ก็เหมือนได้ท่องเข้าไปท่องในโลกของไดโนเสาร์เมื่อหลายล้านปีก่อน 
แหล่งท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งที่เป็นที่นิยมอย่างมากคือ
                     เขื่อนลำปาว เป็นเขื่อนดินซึ่งสร้างปิดกั้นลำน้ำปาว และห้วยยาง มีบริเวณเขตติดต่อระหว่างตำบลลำปาว อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองกุงศรี และตำบลเว่อ อำเภอยางตลาด ตามเส้นทางหมายเลข 209 ทางหลวงสายกาฬสินธุ์-มหาสารคาม ตรงหลักกิโลเมตรที่ 10 แยกขวามือเข้าเขื่อนลำปาวตามถนนลาดยาง 26 กิโลเมตร เป็นเขื่อนดินสูงจากท้องน้ำ 33 เมตร สันเขื่อนยาว 7.8 เมตร กว้าง 8 เมตร เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2506 สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2511 เพื่อปิดกั้นลำน้ำปาวและห้วยยางที่บ้านหนองสองห้อง ตำบลลำปาว อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำแฝดทางด้านเหนือเขื่อน จึงได้ขุดร่องเชื่อมระหว่างอ่างทั้งสอง เก็บน้ำได้ 1,430 ล้านลูกบาศก์เมตร สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาอุทกภัยและเพื่อการเกษตรโดยเฉพาะ นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจได้แก่ หาดดอกเกด ซึ่งเปรียบเสมือนสวรรค์ชายหาดของคนอีสาน